ความเป็นมาและวิสัยทัศน์

มูลนิธิปัจจยาก่อตั้งขึ้นด้วยปณิธานของคนรุ่นใหม่ โดยได้รับการสนับสนุนจากครูบาอาจารย์และผู้ใหญ่ในสังคม ที่แลเห็นประโยชน์การเข้าถึงแก่นสาระเดิมของพุทธธรรม โดยเฉพาะการปรับประยุกต์ภาพลักษณ์วิธีการสื่อสารให้เข้ากับสังคมร่วมสมัยทั้งในระดับประเทศและระดับนานาชาติ สืบเนื่องมาจากปัจจุบันที่ธรรมะในประเทศไทยส่วนใหญ่ได้กลายเป็นเพียงเปลือกพิธีกรรม และไม่สามารถเชื่อมโยงให้เข้ากับวิถีชีวิตของคนรุ่นใหม่ได้อย่างแต่ก่อน ในสภาวะการเปลี่ยนแปลงของโลกที่ยังคงขับเคลื่อนไป

การเชื่อมโยงนำเอาแก่นพุทธธรรมและวิธีการเผยแผ่ธรรมะจากสังคมพุทธในที่ต่างๆ จากทั่วโลกมาเป็นส่วนหนึ่งของแรงบันดาลใจ เพื่อปรับประยุกต์องค์ความรู้พุทธธรรมให้เกิดความเข้าใจและสามารถนำไปใช้กับวิถีชีวิตและสถานการณ์ร่วมสมัย เป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เพื่อใช้ต้นทุนทางพุทธธรรม ทุนทางวัฒนธรรม และทุนทางจิตวิญญาณ เพื่อการสร้างประโยชน์ให้กับยุคสมัยอย่างแท้จริง

 

พันธกิจ

พัฒนาองค์ความรู้พุทธธรรมจากแก่นสาระเดิมให้ร่วมสมัยและเชื่อมโยงให้เข้ากับโลกปัจจุบัน สามารถหาจุดร่วม (common ground) ระหว่างแก่นพุทธธรรมจากสังคมพุทธในที่ต่างๆ จากทั่วโลก เพื่อนำมาสังเคราะห์ให้เกิดประโยชน์กับชีวิตของคนรุ่นใหม่ให้ได้มากที่สุด

พัฒนาองค์ความรู้พุทธธรรมและเผยแผ่สู่สังคมร่วมสมัย โดยก้าวข้ามเปลือกพิธีการแบบเดิมผ่านการหลอมรวมเนื้อหาสาระจากแก่นพุทธธรรม และสื่อสารไปสู่คนรุ่นใหม่ให้เกิดการเรียนรู้นำไปประยุกต์ใช้ได้จริง เพื่อเป็นการต่อยอดให้พุทธธรรมเป็นต้นทุนทางจิตวิญญาณ ต้นทุนทางวัฒนธรรม และต้นทุนทางวิชาการ เพื่อให้เกิดการแผ่ขยายองค์ความรู้ธรรมจากสังคมไทยให้ไปสู่สังคมโลก รวมถึงเน้นย้ำให้เห็นความสำคัญของการภาวนาที่จะเป็นแหล่งขุมทรัพย์ทางปัญญาในอนาคต เพื่อเป็นการเพิ่มพูนปัญญาให้สมดุลกับศรัทธาที่มีอยู่แล้วในสังคมไทย โดยยังคงไว้ซึ่งแก่นพุทธธรรมที่มีหลักจากพระไตรปิฏกเป็นเครื่องรับรอง 

พัฒนาองค์ความรู้พุทธธรรมโดยการปรับภาพลักษณ์ธรรมะให้เนื้อหาสาระสามารถเข้าถึงคนรุ่นใหม่ ผ่านสื่อสมัยใหม่ในรูปแบบการสื่อสารที่หลากหลาย ทั้งในรูปแบบของบทความ ภาพถ่าย ภาพเคลื่อนไหว โดยการประยุกต์วิธีการถ่ายทอดองค์ความรู้จากศาสตร์แขนงต่างๆ และผสมผสานให้เข้ากับหลักการภาวนา รวมถึงการจัดกิจกรรมที่เน้นการภาวนาเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ที่จะเข้าถึงจิตใจได้อย่างลึกซึ้ง ซึ่งนับเป็นพื้นฐานสำคัญในการพัฒนาสังคมอย่างแท้จริง

 

คณะที่ปรึกษา

Ajahn Jayasaro.jpg

พระอาจารย์ชยสาโร

การตั้งคำถามกับตัวเองว่าคนเราเกิดมาทำไม ชีวิตที่ดีงามเป็นอย่างไร อะไรคือสิ่งที่ดีที่สุดที่ควรจะทำเมื่อได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เปรียบเสมือนหมุดหมายแรกของแผนที่ชีวิต ที่ได้นำทางให้ออกแสวงหาคำตอบผ่านการเดินทางไปในหลากหลายจุดหมาย จนนำมาสู่การปฏิบัติตามหลักคำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

พระอาจารย์ชยสาโร มีนามเดิมว่า ฌอน ไมเคิล ชิเวอร์ตัน (Shaun Michael Chiverton) เกิดที่ประเทศอังกฤษ ด้วยนิสัยรักการอ่านนำมาซึ่งการคิดและการตั้งคำถามกับตัวชีวิต เมื่อได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับแนวทางพุทธศาสนา ทำให้ได้คำตอบที่พอใจและไม่สงสัยว่า การปฏิบัติตามหลักของพระพุทธเจ้าคือแนวทางชีวิตที่ถูกต้อง แม้จะมีผลการเรียนที่ดีเยี่ยม แต่เมื่อต้องเรียนต่อในมหาวิทยาลัยจึงได้ปฏิเสธการเรียนในระบบ และเลือกที่จะเรียนรู้ผ่านประสบการณ์จริง จากการเดินทางไปในหลายภูมิประเทศ ทั้งยุโรป ตะวันออกกลาง จนถึงประเทศอินเดีย และได้เริ่มฝึกการปฏิบัติภาวนาเป็นเวลากว่าสองปี เมื่อเดินทางกลับประเทศอังกฤษ จึงได้พบกับท่านสุเมโธ (พระราชสุเมธาจารย์) และได้ถือเพศเป็นอนาคาริก ถือศีลแปดที่วิหารแฮมสเตดในประเทศอังกฤษเป็นเวลาหนึ่งพรรษา จนได้เดินทางมากราบหลวงพ่อชา (พระโพธิญาณเถร) เป็นครั้งแรกที่วัดหนองป่าพง จึงทำให้เกิดความเชื่อมั่นว่ามรรคผลนิพพานมีอยู่จริง เชื่อว่าพระอรหันต์ยังไม่หมดไปจากโลก และเชื่อว่าการปฏิบัติธรรมให้ถึงที่สุดยังเป็นไปได้ในยุคปัจจุบัน เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๓ จึงได้รับการอุปสมบทโดยมีหลวงพ่อชาเป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์ชยสาโรได้รับตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสวัดป่านานาชาติเป็นเวลาหลายปี ก่อนจะปลีกวิเวกมาพำนักอยู่ที่อาศรมชนะมาร ปากช่อง จังหวัดนครราชสีมาจนถึงปัจจุบัน

ด้วยเล็งเห็นว่าคุณค่าของชีวิตอยู่ที่การศึกษาและการปฏิบัติธรรม พระอาจารย์ชยสาโรได้รับเป็นองค์ประธานคณะกรรมการที่ปรึกษาของมูลนิธิปัญญาประทีป จากการให้ความสำคัญกับการศึกษาวิถีพุทธปัญญา รวมถึงได้เมตตาเป็นองค์คณะกรรมการที่ปรึกษาของมูลนิธิปัจจยา เพื่อชี้แนวทางการเผยแผ่พุทธธรรมสู่สังคมร่วมสมัย จากคำสอนและการปฏิบัติเป็นแบบอย่างที่ดีงาม ซึ่งได้แผ่ขยายออกไปสู่วงกว้างทั้งในไทยและระดับนานาชาติ นับได้ว่าเป็นธรรมทานที่เป็นไปเพื่อการสร้างประโยชน์ตนและประโยชน์สุขแก่เพื่อนมนุษย์อย่างเแท้จริง


Ajahn Anil.jpg

พระศากยวงศ์วิสุทธิ์

พระศากยวงศ์วิสุทธิ์ (พระอนิลมาน ธมฺมสากิโย) พระนักวิชาการที่มีผลงานโดดเด่นทั้งในประเทศไทยและระดับสากล ผู้กำเนิดมาจากสายเลือดศากยะบุตรแห่งประเทศเนปาล ที่สืบสายตระกูลมาจากศากยะมุนีปราชญ์แห่งสกุลศากยะหรือพระพุทธเจ้า 

หลังจากได้บวชเป็นสามเณรในประเทศเนปาล และมาศึกษาพระธรรมที่วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร เมื่ออายุครบบวชได้รับการอุปสมบทจากพระอุปัชฌาย์ โดยสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ต่อมาได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ช่วยเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช และดำรงตำแหน่งรองอธิการบดีฝ่ายกิจการต่างประเทศ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย พระอนิลมานสำเร็จการศึกษาศาสนศาสตรบัณฑิต จากคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย และศึกษาต่อระดับปริญญาโท ด้านมานุษยวิทยาจากมหาวิทยาลัยตรีภูวันแห่งกรุงกาฐมานฑุประเทศเนปาล นอกจากนี้ยังได้ศึกษาต่อระดับปริญญาโทด้านมานุษยวิทยาสังคมจากวิทยาลัยไครสต์คอลเลจ มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ แล้วศึกษาต่อระดับปริญญาเอกด้านมานุษยวิทยาสังคมจากมหาวิทยาลัยบรูเนล โดยได้รับทุนพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช

ปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นรองคณบดีและอาจารย์ประจำคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย และเป็นอาจารย์พิเศษประจำอยู่ที่ วิทยาลัยศาสนาศึกษา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยซานตาคลารา สหรัฐอมเริกา และมหาวิทยาลัยออกฟอร์ด สหราชอาณาจักร นอกจากการดำรงตำแหน่งอาจารย์ในมหาวิทยาลัยต่างๆ แล้ว พระอนิลมานยังเป็นกรรมการมูลนิธิแผ่นดินธรรมในพระสังฆราชูปถัมภ์ รวมถึงเมตตาเป็นพระอาจารย์ที่ปรึกษาหลักวิชาการทางธรรมแก่มูลนิธิปัจจยาอีกด้วย


พระไพศาล วิสาโล 

พระนักเผยแผ่ผู้ริเริ่มหลักในการเตรียมตัวทางจิตวิญญาณก่อนตาย เพื่อให้ผู้ตายจากไปอย่างสงบ จากอดีตนักกิจกรรม นักเคลื่อนไหวทางสังคม มาสู่การเป็นพระนักวิชาการที่เผยแผ่ธรรมะผ่านวิธีการสื่อสารที่หลากหลาย การเป็นพระนักคิด นักเขียน นักปฏิบัติ และนักบรรยาย ที่คนรุ่นใหม่นับถือและศรัทธาจากความเปิดกว้างในคำสอน

พระไพศาล วิสาโล (วงศ์วรวิสิทธิ์) สำเร็จการศึกษาจากคณะศิลปศาสตร์ สาขาวิชาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ระหว่างเรียนที่ธรรมศาสตร์ เคยเป็นสาราณียกรปาจารยสาร และเป็นเจ้าหน้าที่กลุ่มประสานงานศาสนาเพื่อสังคม โดยมีบทบาทร่วมในแนวทางอหิงสาต่อเหตุการณ์ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ ต่อมาในปี ๒๕๒๖ ได้อุปสมบท ณ วัดทองนพคุณ และเรียนกรรมฐานจากหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ จากวัดสนามใน ก่อนไปจำพรรษาแรก ณ วัดป่าสุคะโต จังหวัดชัยภูมิ โดยศึกษาธรรมกับหลวงพ่อคำเขียน สุวณฺโณ กระทั่งได้รับตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสวัดป่าสุคะโตมาจนถึงปัจจุบัน นอกจากการจัดอบรมปฏิบัติธรรมและการพัฒนาจริยธรรมอย่างต่อเนื่องแล้ว พระไพศาลยังเป็นประธานเครือข่ายพุทธิกา กรรมการมูลนิธิโกมลคีมทอง กรรมการมูลนิธิสุขภาพไทย กรรมการมูลนิธิสันติวิถี กรรมการสถาบันสันติศึกษา กรรมการสถาบันวิจัยและพัฒนา กรรมการสภาสถาบันอาศรมศิลป์ และอดีตกรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติอีกด้วย

หลักคิดจากหลักธรรมที่พระไพศาลเผยแผ่ได้ขยายไปสู่สังคมวงกว้าง โดยเฉพาะกับกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่แสวงหาแนวทางในการใช้ชีวิต การทำหน้าที่เป็นพระผู้นำของนักบวชที่สนใจในแนวทางพุทธเพื่อสังคม ได้เชื่อมโยงความรู้จากทางโลกและทางธรรม จนนำไปสู่มิติการยกระดับการพัฒนาจิตใจควบคู่ไปกับการพัฒนาสังคมอย่างแท้จริง


ดร.วิรไท สันติประภพ

นักเศรษฐศาสตร์ด้านการเงิน การธนาคาร ที่มีประสบการณ์ทั้งภาควิชาการและภาคปฏิบัติ ผ่านการทำงานทั้งในภาครัฐบาล สถาบันการเงินเอกชน และองค์กรระหว่างประเทศ ผู้เป็นกำลังสำคัญของชาติในการขับเคลื่อนสถาบันเศรษฐกิจจากการดำรงตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนปัจจุบัน

ดร.วิรไทสำเร็จการศึกษาเศรษฐศาสตร์บัณฑิต เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้รับพระราชทานรางวัลทุนภูมิพลและทุนมูลนิธิอานันทมหิดล เพื่อศึกษาต่อจนสำเร็จการศึกษาระดับมหาบัณฑิต และดุษฎีบัณฑิตด้านเศรษฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และเริ่มการทำงานในฐานะนักเศรษฐศาสตร์ที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ ณ กรุงวอชิงตัน ดีซี เมื่อเกิดวิกฤติเศรษฐกิจไทยในปี ๒๕๔๐ จึงได้กลับมาเป็นผู้อำนวยการร่วมสถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง และมีบทบาทสำคัญในการผลักดันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและแก้ไขปัญหาระบบสถาบันการเงิน หลังจากนั้นจึงได้เข้าร่วมงานในตำแหน่งบริหารกับธนาคารไทยพาณิชย์และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย อีกทั้งความสามารถในด้านการเขียนจากการเป็นเจ้าของคอลัมน์ ‘เศรษฐศาสตร์พเนจร’ ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ การเขียนหนังสือ ‘เศรษฐศาสตร์มีจริต’ และ ‘มรรคเธอประเทศไทย’ ที่รวบรวมความคิดเห็นเกี่ยวกับนโยบายเศรษฐกิจที่สะท้อนให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลง รวมถึงการทำงานเพื่อสังคมผ่านการเป็นประธาน คณะกรรมการ หรือที่ปรึกษาให้กับหน่วยงานต่างๆ อาทิ มูลนิธิอานันทมหิดล มูลนิธิปิดทองหลังพระ มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง หอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ และหน่วยงานระดับประเทศอีกหลายหน่วยงาน ดร.วิรไทยังได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งใน 50 นักการธนาคารรุ่นใหม่ของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิคโดยนิตยสาร The Asian Banker และได้รับแต่งตั้งให้เป็นกรรมการตรวจสอบ (Oversight Committee) ขององค์การอนามัยโลก ณ กรุงเจนีวา อีกด้วย

เมื่อมองผ่านฐานะนักบริหารทางการเงินและหน้าที่การงานอันหลากหลาย ในมุมชีวิตที่ว่างเว้นจากการงาน ดร.วิรไทเป็นผู้หนึ่งที่มีความชื่นชมในความงามของศิลปะ ผู้มองเห็นสุนทรีย์ศาสตร์ของการใช้ชีวิตที่เงียบและเรียบง่าย ผ่านการอยู่อย่างธรรมดาและใกล้ชิดกับธรรมชาติ รวมถึงการเป็นนักภาวนาที่ทำให้การเป็นนักบริหารชีวิตสมบูรณ์ยิ่งขึ้น


Kamin.jpg

คามิน เลิศชัยประเสริฐ

ศิลปินผู้ถ่ายทอดผลงานศิลปะที่ได้รับแรงขับเคลื่อนหลักมาจากมิติการภาวนา การสื่อสารชีวิตผ่านงานศิลปะร่วมสมัย และการสื่อสะท้อนลึกทางจิตวิญญาณจากรากภูมิปัญญาพุทธธรรม การปฏิบัติวิปัสสนาที่ซื่อตรงต่อตัวเองและสัจจะของชีวิต ทำให้การสร้างงานศิลปะก้าวข้ามสัญลักษณ์เชิงพุทธที่ถูกตีความไว้ในกรอบเดิม

หลังจากจบการศึกษาที่คณะจิตรกรรมประติมากรรมและภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร คามินได้เดินทางไปใช้ชีวิตอยู่ที่สหรัฐอเมริกา โดยเข้าศึกษาต่อที่ Art Students League of New York ก่อนที่จะกลับมาอยู่เมืองไทยและย้ายมาพำนักที่เชียงใหม่อย่างถาวร จากจุดเริ่มต้นของความคิดว่าศิลปะคือชีวิต เป็นสิ่งที่ทำให้ชีวิตมีความหมาย การทุ่มเทกับการทำความเข้าใจว่าศิลปะคืออะไร ทำให้เข้าใจว่าชีวิตคืออะไรจากการทำงานศิลปะ คามินได้ร่วมกับเพื่อนศิลปินก่อตั้งมูลนิธิที่นา ซึ่งได้เปลี่ยนพื้นที่นาให้กลายเป็นจุดหมายปลายทางสำหรับโครงการทางศิลปะและสถาปัตยกรรมเฉพาะที่ จากความสนใจในการทำงานศิลปะร่วมกับผู้อื่น จึงทำให้เกิดเป็น ‘พิพิธภัณฑ์จิตวิญญาณร่วมสมัยของทศวรรษที่ 31 ณ เชียงใหม่’ โดยได้รับแรงบันดาลใจจากการประชุมสัมนา ‘Stimulating Cities with Art’ ที่ 21st Century Museum of Comtemporary Art ประเทศญี่ปุ่น ตัวพิพิธภัณฑ์มีการปรับเปลี่ยนการนำเสนอไปในหลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่พื้นที่การจัดแสดงงานที่ดัดแปลงมาจากตู้คอนเทนเนอร์จนถึงการปฏิบัติการเชิงสัมมนาในต่างประเทศ ปัจจุบันคามินยังคงสร้างงานศิลปะและจัดแสดงผลงานอย่างต่อเนื่องทั้งในเมืองไทยและระดับนานาชาติ

การค้นหาคำตอบให้ชีวิตได้ขยายขอบเขตการอธิบายความจริง ผ่านภาษาของงานศิลปะที่ทำให้เกิดความเข้าใจหรือให้ความหมายได้มากกว่าภาษาอื่น การตั้งคำถามถึงการเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไปได้แฝงความหมายไว้ในผลงานศิลปะแทบทุกชิ้นของคามิน พร้อมกันนั้นยังได้สะท้อนถามผู้ที่พบเห็นว่าความจริงและคุณค่าของการมีชีวิตอยู่คืออะไร นับเป็นการตีความพุทธแบบร่วมสมัยผ่านกระบวนทัศน์ใหม่ในกระแสการภาวนา


.อาภาวดี เทวกุล

การเป็นนักศึกษาตลอดชีวิตที่ตระหนักว่าชีวิตคือการศึกษา เมื่อมองเห็นว่าพุทธศาสนาคือแหล่งปัญญาที่ควรค่าแก่การรักษาไว้ พร้อมกับความสนใจที่จะศึกษาในด้านพุทธศาสตร์อย่างเป็นรูปธรรม ส่งผลให้เกิดเป็นความตั้งใจที่จะร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการสืบทอดพุทธศาสนาและเผยแผ่หลักธรรมไปสู่สังคมไทย

เมื่อครั้งแรกที่ได้พบพระสงฆ์จากสายวัดป่าที่ประเทศอังกฤษ ด้วยความเลื่อมใสจึงเกิดความคิดว่าชาวต่างชาติยังมีสนใจในพระพุทธศาสนา และเกิดคำถามว่าทำไมคนไทยจึงไม่มีโอกาสได้ศึกษาธรรมะตามหลักที่ควรจะเป็น ประกอบกับการได้ฟังธรรมะตามกาล จึงทำให้เกิดการตั้งคำถามว่าทำไมจึงไม่ศึกษาจากพระไตรปิฏกด้วยตนเอง ม.ล. อาภาวดีจึงได้เลือกที่จะศึกษาพระอภิธรรม ที่อภิธรรมโชติกะวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย จากการเรียนรู้พระอภิธรรมที่เป็นหลักวิชาการ ยิ่งเน้นย้ำให้เห็นว่าหลักธรรมะเป็นสิ่งที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับชีวิตจริงได้ โดยเฉพาะการมองในแง่ของศาสนาพุทธที่เป็นวิถีที่เข้ากับสังคมไทย และจากประสบการณ์ด้านงานธนาคารต่างชาติที่ทำมากว่า ๒๐ ปี พร้อมกับการทำธุรกิจส่วนตัวด้านอสังหาริมทรัพย์ จึงทำให้คาดการณ์ว่าสภาพสังคมในอนาคตจะประสบกับปัญหาต่างๆ โดยเฉพาะปัญหาด้านเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของคนในสังคม ทั้งหมดนี้จึงเกิดเป็นแรงบันดาลใจในการศึกษาพุทธธรรม เพื่อการพัฒนาตนเอง ครอบครัว และสังคมในทุกระดับ

การเรียนรู้ที่จะเข้าใจหลักพุทธธรรมควบคู่ไปกับการพัฒนาสังคมตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง ตามแนวพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช จึงเป็นความสนใจของ ม.ล. อาภาวดี ผู้ที่ตั้งคำถามว่า ทำอย่างไรเราถึงจะตระหนักเห็นสัจจะธรรมที่เราดำรงอยู่และนำไปสู่สังคมที่มีสัมมาทิฐิได้


นพพล เตชะพันธ์งาม 

เมื่อเกิดความตระหนักในปัญหาด้านความเหลื่อมล้ำและไม่เท่าเทียมกันในสังคม ส่งผลเป็นแรงผลักดันให้นพพลเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างความพร้อมให้กับกลุ่มคนระดับบนของประเทศ โดยการชี้ให้เห็นถึงความสามารถที่กลุ่มคนเหล่านั้นจะสร้างความเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกให้กับสังคมได้

อดีตนักเรียนทุนมูลนิธิเคมบริดจ์-ไทย ผู้ได้รับรางวัลบุคคลตัวอย่างภาคธุรกิจของใช้ในครัวเรือน ปี 2555 จากมูลนิธิสภาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (มสวท.)  ผู้สำเร็จการศึกษาระดับอนุปริญญาโท สาขาเศรษฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ และปริญญาตรีเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง สาขาฟิสิกส์และทฤษฎีทางฟิสิกส์ จากมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ สหราชอาณาจักร นพพลได้ใช้องค์ความรู้และประสบการณ์ดังกล่าวในการเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาสังคม สะท้อนผ่านการทำงานจากการเป็นหนึ่งในคณะกรรมการบริหารเครือข่ายผู้มีจิตอาสารุ่นเยาว์แห่งประเทศไทย (TYPN) การเป็นผู้ก่อตั้งและหนึ่งในผู้อำนวยการของเครือข่ายระดับนานาชาติที่ถือเป็นการรวมตัวกันของผู้ถือครองความมั่งคั่งรุ่นใหม่ นักธุรกิจเพื่อสังคม ผู้มีจิตอาสา ผู้ทรงอิทธิพลต่อการสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงบวก ที่ต้องการพัฒนาการบริจาคและการลงทุนเพื่อช่วยเหลือสังคมให้เป็นไปอย่างมีกลยุทธ์และวัดผลได้มากขึ้น ในชื่อกลุ่มเน็กซ์ซัสประเทศไทย (NEXUS Thailand) รวมถึงผ่านบทบาทในฐานะกรรมการของกลุ่มบริษัท SPB ซึ่งเป็นธุรกิจของครอบครัว และผู้ก่อตั้งธุรกิจเกิดใหม่ (startups) ทั้งในประเทศไทยและจีน

 

คณะทำงาน

PORTRAIT-1.jpg

กุณฑ์ สุจริตกุล
founder

นวัตกรชาวพุทธผู้ที่เรียนจบจากมหาวิทยาลัยนาโรปะ (Naropa University) มหาวิทยาลัยพุทธในสหรัฐอเมริกา เชื่อในภูมิปัญญาของพุทธธรรมที่เป็นมากกว่าศาสนา จากการเล็งเห็นว่าสิ่งเหล่านี้เป็นทุนทางวัฒนธรรมและจิตวิญญาณที่โลกกำลังต้องการ 

แต่ด้วยเหตุผลหลายประการในสยามประเทศ ส่งผลให้ไม่มีองค์กรหรือสถาบันที่สามารถยกระดับองค์ความรู้ดังกล่าวให้ไปสู่ระดับสากลได้ นอกจากครูบาอาจารย์จากสายวัดป่าที่เป็นกำลังสำคัญในการเผยแผ่ภูมิธรรม จากการทำงานที่เกี่ยวข้องกับบริบททางพุทธธรรมมาโดยตลอด กุณฑ์และกัลยาณมิตรจึงได้ร่วมกันก่อตั้งและขับเคลื่อนมูลนิธิปัจจยา เพื่อให้เป็นส่วนเชื่อมการพัฒนาองค์ความรู้พุทธธรรมในสังคมร่วมสมัย โดยที่ยังคงไว้ซึ่งสาระเดิมไม่บิดพลิ้วไปจากแก่นและไม่เน้นแต่เพียงเปลือกพิธีกรรม


ภากร มุสิกบุญเลิศ
Co-founder / Producer and Composer

เมื่อชีวิตหนีความทุกข์ไม่ได้อีกแล้ว การเดินทางอยู่ในแวดวงคนดนตรี การเป็นศิลปินที่ทำงานคาบเกี่ยวอยู่ในพื้นที่สีเทา ความสุขที่ได้รับจากทางโลกไม่ตอบโจทย์และไม่ให้ความหมายกับชีวิต

ศิลปิน นักแต่งเพลง โปรดิวส์เซอร์ ผู้เข้าใจมิติทางดนตรี ผู้ผ่านการศึกษาด้านศิลปะการบันทึกเสียงและธุรกิจงานบันเทิงจากมหาวิทยาลัยฟูลเซลล์ (Full Sail University) ในประเทศสหรัฐอเมริกา จึงได้เริ่มหันเหจากจังหวะเสียงเพลงและความสุดโต่งทางอารมณ์เข้ามาหาท่วงทำนองทางธรรมที่เข้าถึงใจและชีวิต การเป็นนักภาวนาที่เข้าหาความเงียบจากการปฏิบัติแทนที่เวทีคอนเสิร์ต การมีส่วนร่วมในการทำงานเผยแผ่ทางพุทธธรรมผ่านงานดนตรี ทำให้ค้นพบว่าสิ่งนี้คือความสุขที่ตามหาอยู่ ซึ่งเป็นความสุขจากการทำประโยชน์ทั้งกับตนเองและผู้อื่น


จิรศักดิ์ ไพรสานฑ์กุล
Co-founder / Visual Artist and Filmmaker

การตั้งคำถามว่าคนเราเกิดมาทำไม คำตอบที่ยังค้นไม่พบทำให้หาทางออกจากชีวิตไม่เจอ ความว่างเปล่าภายในยิ่งสร้างแรงกดดันต่อการมีชีวิตอยู่ เมื่อถึงจุดที่ชีวิตต้องการคำตอบที่แท้จริงธรรมะจึงได้ทำหน้าที่เข้ามาชี้ทางให้พบคำตอบนั้น

ชีวิตที่เจอแก่นสารและความหมายของ ‘การธรรมงาน’ ที่สื่อสารถึงสุนทรียศาสตร์และความลึกซึ้งของชีวิต ความสนใจทางพุทธศิลป์นำไปสู่การศึกษาค้นคว้าและปฏิบัติด้วยตนเอง ประสบการณ์จากงานภาพเคลื่อนไหวในเชิงพาณิชย์และการถ่ายภาพนิ่งที่เป็นความสุขส่วนตัว จิรศักดิ์เป็นศิลปินผู้เรียนรู้การทำหนังจากชีวิตจริงที่ไม่เคยผ่านสถาบันทางวิชาการแห่งโลกภาพยนตร์ จากมุมมองที่เห็นว่าสื่อทุกวันนี้มีผลกระทบต่อสังคมอย่างมาก การลุกขึ้นมาทำสิ่งดีๆ ที่เป็นทางเลือกใหม่อาจจะช่วยให้สังคมนี้เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นได้


อนัญญา นฤที
Dhamma Media Manager

หนึ่งในผู้ที่อยู่เบื้องหลังการดูแลและจัดการงานเผยแผ่สื่อธรรมะ ผ่านเครื่องมือการสื่อสารที่ทุกอย่างกำลังขับเคลื่อนแบบก้าวกระโดด จากการศึกษาในด้านโบราณคดีเชิงประวัติศาตร์ศิลปะ ผสมรวมกับประสบการณ์ด้านงานสื่อสารจากหลากหลายแขนง บวกกับความเชื่อว่าการเข้าใจธรรมะเป็นพื้นฐานสำคัญของมนุษย์ 

ด้วยเหตุปัจจัยดังกล่าวอนัญญาจึงได้อุทิศตัวงานชีวิตให้เป็นไปเพื่อการสร้างประโยชน์ตนและผู้อื่น โดยการทำงานเผยแผ่ธรรมะผ่านศาสตร์และศิลป์ของงานสื่อสารร่วมสมัย การเป็นนักสำรวจจิตใจผ่านการเดินทางทั้งภายในและภายนอก การเป็นนักปฏิบัติที่พยายามมุ่งบำเพ็ญทานศีลภาวนาเป็นหลักชีวิต และเพียรศึกษาปริยัติเพื่อให้เข้าใจถึงแก่นแท้แห่งพุทธธรรม เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการเผยแผ่ธรรมะให้ขยายกิ่งก้านต่อไป

 


สมชาย สุนทรยาตร
Foundation Facilitator

นักกระบวนกรผู้จบการศึกษามาทางด้านรัฐศาสตร์การฑูต จากความสนใจในพุทธศาสนาและการบวชเรียนมากว่า ๑๑ พรรษา จึงทำให้เกิดประสบการณ์และความเชี่ยวชาญด้านการเจริญสติและการภาวนาเพื่อการตื่นรู้ในทางพุทธศาสนาร่วมสมัย

ในด้านประวัติการทำงานสมชายเป็นวิทยากรผู้จัดอบรมทักษะในเชิงศิลปะการจัดกระบวนการเรียนรู้ เพื่อการเปลี่ยนแปลงในวิถีไดอะล็อค (Dialogue) หรือสุนทรียสนทนาเพื่อปัญญาร่วม (Dialogue for Collective Leadership) การพัฒนาภาวะผู้นำร่วม (Collective Leadership Development) การสื่อสารอย่างสันติ (Non Violence Communication) การภาวนาเพื่อตื่นรู้ รวมถึงการจัดหลักสูตร LO&KM (Learning Organization and Knowledge Management) หลักสูตรพัฒนากระบวนกร (Facilitator) และการบริหารและคลี่คลายความขัดแย้ง (Conflict Resolution and Management) ให้กับองค์กรชั้นนำทั้งภาครัฐและเอกชน